จะมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
*****นาโนเทคโนโลยี เป็นกระบวนทำให้วัตถุต่างมีขนาดเล็กลง*****
คนโดยทั่วไปคิดว่าเครื่องสำอางนาโน คือเครื่องสำอางที่มีนาโนเป็นสารประกอบเช่นเดียวกับสารชนิดอื่นๆ เช่นวิตามิน และคลอลาเจน
แต่จริงๆ แล้ว นาโน เป็นขั้นตอนในการผลิตเครื่องสำอาง โดยการย่อขนาดของสารนั้นให้เล็กลง เช่น ในเครื่องสำอางประเภทโลชั่น
ครีมทั่วไปจะมีขนาดใหญ่กว่าอนุภาคขนาดนาโนประมา 1,000 เท่า คือเปรียบได้กับลูกมะนาวกับเม็ดทราย ซึ่งโมเลกุลใหญ่จะซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ไม่ได้
นาโนเทคโนโลยีจึงถูกนำมาใช้ในการย่อขนาดของสารบำรุงผิวให้เล็กลง เพื่อที่จะซึมสู่ผิวได้ดีขึ้น และลดการสูญสลายของสารในขณะที่ซึมเข้าสู่ผิว และลดการละคายเคืองของผิวหนัง
ปัจจุบันมีการนำเอานาโนเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตเครื่องสำอางที่ต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ต้องเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเท่านั้น
เช่น ครีมกันแดด โลชั่นและครีมบำรุงผิว โรลออนและแป้งทาตัว เป็นต้น
การนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง เพื่อให้มีคุณภาพดีขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องทำความเข้าใจว่านาโนเทคโนโลยีคืออะไร
นาโนเทคโนโลยี ( Nanotechnology) คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตร(ประมาณ 1-100 นาโนเมตร)
รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้สร้างหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมากๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุหรืออุปกรณ์มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นไม่ว่าทางด้านฟิสิกส์ เคมี หรือชีวภาพ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
เครื่องสำอางนาโน
ถ้าพิจารณาแล้วว่าว่าเครื่องสำอางนาโนช่วยเพิ่มความสวยก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะโดยกระบวนการทำให้อนุภาคต่างๆ เล็กลง ก็จะทำให้เข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
ก็ทำให้มีประสิทธิภาพในการบำรุงเร็วขึ้น ส่งผลให้ใช้ปริมาณน้อยลง ลดการสูญเสียตัวยาต่างๆ ไปกับสภาพแวดล้อมอื่น ก็เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง
แต่ถ้ามองอีกทางหนึ่งการนำเครื่องสำอางนาโนมาใช้นั้น ถ้าเครื่องสำอางใช้สารที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีสารพิษปะปนอยู่
ตลอดจนผู้ใช้บางคนที่มีอาการแพ้สารบางชนิด อนุภาคเล็กๆ นี้ก็จะเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเร็วขึ้น
คนที่แพ้สารพิษก็อาจจะมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น หรือเกิดอาการอย่างเฉียบพลันได้ นอกจากนี้สารบางชนิดที่ซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วๆ ก็จะอยู่ภายในร่างกายเกินความจำเป็น
เมื่อมีการใช้เป็นประจำก็จะเกิดการสะสมของสารชนิดนั้น อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาอื่นๆ หรืออาจเกิดมะเร็งได้
ดังนั้นในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ มิใช้พิจารณาที่ความทันสมัยของเทคโนโลยีเท่านั้น ต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ด้วยจึงจะปลอดภัย
แต่ทางที่ดีที่สุดก็ควรสวยด้วยการมีสุขภาพดี ด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสุขภาพจิตให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ จะเป็นการสวยอย่างถาวร
ขอเสนอเคล็ดลับในการเลือกเครื่องสำอางสำหรับคนผิวแพ้ง่าย
เขียนโดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล Wednesday, 16 May 2007 )
เครื่องสำอางถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่ห้าสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ ซึ่งผิวหนังทุกคนมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin)
แพทย์หญิง Zoe Diana Draelos ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ผิวหนังที่ Woke Forest University School of medicine ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่า
เครื่องสำอางนาโน
ผู้หญิงทั้งหลายควรมีความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่ตนเองกำลังเลือกซื้อ และได้แนะนำเคล็ดลับ 10 ประการไว้
ดังนี้
1.เลือกแบบแป้งดีกว่าแบบเหลว (Choose powder when possible)

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ชนิดแป้งสามารถที่จะช่วยดูดซับความมันของผิวหนังได้ และยังมีส่วนประกอบจำพวกสารกันเสียและสารชนิดอื่น ๆ ในปริมาณที่น้อย
ทำให้โอกาสที่จะเกิดการแพ้หรือการระคายเคืองน้อยกว่าชนิดที่เป็นน้ำ
2.หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางกันน้ำ (Avoid waterproof cosmetics)
บางคนอาจคิดว่าเครื่องสำอางชนิดกันน้ำ เช่น มาสคาร่า ติดทนนานทั้งวัน แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เราต้องการล้างออกก็จะยากเช่นกัน
เพราะเครื่องสำอางสำหรับเช็คคราบชนิดที่กันน้ำนั้นต้องมีองค์ประกอบของสารละลายอินทรีย์หลายชนิดผสมกันเพื่อละลายและลอกไขมันออกให้หมดจรด โอกาสที่จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้และระคายเคืองจึงมีมาก
ทางที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์กันน้ำจะปลอดภัยที่สุด
3.อย่าใช้เครื่องสำอางเก่าและหมดอายุ (Throw out old cosmetics)
เวลาซื้อเครื่องสำอาง ให้สังเกตวันเดือนปีที่ผลิตและวันเดือนปีที่หมดอายุ ถ้าสินค้าเก่าเก็บหรือตกค้างนาน ๆ จนเลยวันหมดอายุ อย่าซื้อใช้โดยเด็ดขาดไม่ว่าราคาจะถูกเพียงใดก็ตาม
เพราะเครื่องสำอางหมดอายุ มักจะเสื่อมคุณภาพและอาจเกิดการสลายตัวของสารเคมีทั้งหลายที่เป็นองค์ประกอบ ตลอดจนอาจก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
แต่หากซื้อมาใช้และใช้นานเป็นปีจนเลยวันหมดอายุ ก็ให้ปฏิบัติเช่นกัน ควรโยนทิ้งไม่ต้องเสียดาย เพราะอาจนำผลร้ายมาสู่สุขภาพผิวหนังได้
4.การเลือกใช้ดินสอเขียนขอบตาและมาสคาร่า (Use black-colored eyeliner and mascara products)
ควรเลือกดินสอเขียนขอบตาและมาสคาร่าเป็นสีดำ จะปลอดภัยกว่าสีอื่นๆ และโอกาสแพ้จะมีน้อยกว่า
5.ใช้ดินสอเขียนขอบตาและคิ้วดีกว่า eyeliner ชนิดเหลว (Use pencil eyeliner and eyebrow filters)
ผลิตภัณฑ์ชนิดแท่ง เช่นดินสอ จะมีองค์ประกอบหลักจำพวกแวกส์ และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ทำให้โอกาสแพ้ลดลง ซึ่งต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภทของเหลว (Liquid eyeliners)
จะมีส่วนประกอบของยางลาเทกส์ (latex) ทำให้เกิดแพ้ได้ในผู้ที่แพ้สารเคมีชนิดนี้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ชนิดแท่งหรือดินสอ จะล้างออกง่ายกว่า
6.เลือกใช้สีทาเปลือกตาชนิดเอิร์ทโทนจะระคายเคืองน้อยกว่าสีโทนอื่น ๆ (Stick to earth-toned eye shadows)
สีในกลุ่มเอิร์ทโทน เช่น สีแทน สีครีม สีขาวหรือสีเนื้ออ่อน จะทำให้โอกาสในการเกิดการแพ้หรือระคายเคืองน้อยกว่าสีชนิดอื่นๆ เพราะสีเข้มมากๆ มักจะได้จากการผสมเคมีหลายๆชนิดเข้าด้วยกัน โอกาสแพ้จึงมีสูงกว่า
7.ตรวจสอบสารกันแดดว่าปลอดภัยหรือไม่ (Check sunscreen ingredients)

โดยทั่วไป FDA และแพทย์ผิวหนังมักจะแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ (SPF) ประมาณเบอร์ 15 และต้องสามารถกรองได้ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี
ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายไม่แนะนำให้ใช้ค รีมกันแดดชนิดที่เป็นสารเคมี ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดที่สะท้อนรังสี หรือที่เรียกกันว่า Physical sunscreen
ซึ่งมีผงแป้งไตเตเนี่ยมไดออกไซด์ (TiO2) และ ZnO เป็นองค์ประกอบ เพราะนอกจากจะสามารถสะท้อนรังสีได้ดีแล้วยังไม่มีผลทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามขอให้ดูที่ฉลาก ว่าครีมกันแดดที่ต้องการซื้อนอกจากมี TiO2 และ ZnO แล้วยังมีสารกันแดดอื่น ๆ ที่อาจทำให้แพ้ได้อีกหรือไม่
เพราะโดยมากครีมกันแดดมักจะมีสารกันแดดหลาย ๆ ชนิดผสมกันเพื่อต้องการให้ป้องกันแดดได้มาก ๆ นั่นเอง