ประกันรถยนต์ชั้น 2
ประกันรถกระบะ
$$ พลังงานทดแทน $$
ทิศทางพลังงานของโลกในอนาคตว่าน้ำมันจะไม่ได้เป็นเชื้อเพลิงหลักอีกต่อไป ไม่เพียงแต่ปริมาณน้ำมันที่ลดน้อยลงเท่านั้นแต่มลพิษที่เกิดจากการใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ได้ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก บทความนี้ยังได้กล่าวถึงแหล่งพลังงานทดแทนที่จะมาเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนยานยนต์ในอนาคตไว้ 3 แนวทางได้แก่ เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ไม่ใช่น้ำมัน (Unconventional Hydrocarbons) และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen) นอกจากนี้ ดร.นเรศ ดำรงชัย ยังได้คาดการณ์ไว้ว่าอีก 20-25 ปีในอนาคตโลกจะเข้าสู่ยุคของพลังงานไฮโดรเจนจากที่เคยพึ่งพาพลังงานที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบสำคัญจากใต้พื้นพิภพ
“รถ” ใช้น้ำมัน
บนเส้นทางการจราจรที่คับคั่ง มนุษย์เงินเดือนพร้อมรถยนต์คู่ใจต่างทะยานไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า โดยไม่เคยหันกลับมามองผลจากการกระทำของตนที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ สารตะกั่วและเขม่าควันที่ออกมาจากท่อไอเสียเป็นสิ่งที่หลายคนไม่เคยนึกถึงเมื่ออยู่ในห้องโดยสารเย็นฉ่ำ ขณะที่โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
“ลด” ใช้น้ำมัน
ภาวะโลกร้อนได้ส่งสัญญาณเตือนให้มนุษย์บางส่วนเริ่มหันกลับมาตระหนักถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ พิธีสารโตเกียว (Kyoto Protocol)ถือเป็นก้าวแรกในการเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่นเดียวกับพื้นที่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้นในทุก ๆ วงการรวมไปถึงวงการรถยนต์ที่เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อน
ความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์เริ่มกลายเป็นสิ่งที่คนพูดถึงกันมากขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะที่ปริมาณเชื้อเพลิงชนิดนี้กำลังจะหมดไป เทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงเกิดขึ้นเพื่อรองรับพลังงานแหล่งใหม่ที่จำเป็นในอนาคต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังจากโลกได้รับรู้ถึงวิกฤตการณ์โลกร้อนได้ไม่นานคำศัพท์ใหม่ ๆ ในโลกของยานยนต์จะเริ่มเกิดขึ้นตามมาอย่าง NGV LPG ไบโอดีเซล เซลล์เชื้อเพลิง อีโคคาร์ รถยนต์ไฮบริด เป็นต้น
สู่แสงสว่าง : การเดินทางจาก C (คาร์บอน) ถึง F (ไฮโดนเจน)
ปัจจุบันพลังงานฟอสซิลกำลังจะหมดไป ขณะที่ผลกระทบจากการใช้พลังงานประเภทนี้กลับเพิ่มมากขึ้น คาร์บอนที่เคยถูกเก็บอยู่ใต้ผืนพิภพกลายเป็นก๊าซจำนวนมากที่สร้างมลพิษในอากาศและกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มนุษย์กลับมาตระหนักเรื่องพลังงานทางเลือกกันมากขึ้น การเดินทางเพื่อแสวงหาพลังงานทดแทนมาใช้กับเทคโนโลยีที่สะอาดจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งของวงการพลังงาน แม้จะแตกต่างกันในเรื่องความคิดและวิธีการปฏิบัติแต่เป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี
D (Diesel) น้ำมันดีเซล
เทคโนโลยีรถดีเซลเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 1893 โดยวิศวกรชาวเยอรมัน ชื่อ รูดดอร์ฟ ดีเซล จากนั้นรถดีเซลก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 รถดีเซลใช้น้ำมันน้อยกว่ารถเบนซิน เนื่องจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ดีเซลให้สมรรถนะสูงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เดิมเทคโนโลยีดีเซลมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมแต่หลายปีที่ผ่านมาดีเซลกลายเป็นเครื่องยนต์สะอาดเนื่องจากมีการพัฒนาระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไดเร็คอินเจคชั่นและฟิลเตอร์ระบบกรองมลพิษต่าง ๆ
เครื่องยนต์ดีเซลที่ทันสมัยระบบคอมมอนเรล HDI (High Pressure Direct Injection) ถือเป็นเครื่องยนต์ที่สะอาด สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20% คาร์บอนมอนอกไซด์ประมาณ 40% และก๊าซไฮโดรคาร์บอนที่เผาไหม้ไม่หมดอีก 40%
นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีการคิดค้นพลังงานทดแทนที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์อย่างไบโอดีเซล (bio-diesel) ซึ่งเป็นการนำน้ำมันพืช ไขจากสัตว์ หรือแม้แต่น้ำมันที่เหลือใช้มาเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล ข้อดีของพลังงานทดแทนชนิดนี้คือ ช่วยลดมลพิษในอากาศโดยเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดีเซลพบว่าสารโฮโดรคาร์บอนลดลง (HC) 93 % คาร์บอนมอนนอกไซด์(CO) ลดลง 50% ส่วนไอเสียจากเครื่องที่ใช้ไบโอดีเซลยังมีกลิ่นหอมจากน้ำมันพืช ในด้านเศรษฐกิจถือเป็นการช่วยพยุงราคาพืชผลทางการเกษตรที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทั้งยังช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซินอย่างแก๊สโซฮอล์ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างน้ำมันกับเอทานอลทำให้ช่วยลดปริมาณมลพิษในอากาศได้มากกว่าน้ำมันเบนซินปกติ
E (Electricity) พลังงานไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าสามารถใช้ทดแทนน้ำมันได้ใน 2 แนวทางกล่าวคือ แนวทางแรกใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวโดยผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งขับเคลื่อนโดยแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Cars) และได้มีการใช้มานานแล้ว แต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเก่ามีข้อจำกัดระยะทางและใช้เวลาชาร์จไฟนาน นอกจากนี้ยังบรรทุกน้ำหนักอื่นได้น้อยเพราะต้องบรรทุกแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักมาก ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มีแบตเตอรี่ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่เก็บพลังงานได้มากขึ้นยกตัวอย่างเช่นนวัตกรรมยานยนต์ล่าสุดของบริษัทจีเอ็ม (GM) เชฟโรเลต โวลต์ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กรุ่นแรกของโลกที่สามารถใช้ไฟจากบ้านเรือนทั้งแบบ 110 โวลต์ และ 220 โวลต์ ชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่และวิ่งได้ไกลประมาณ 70 กิโลเมตรซึ่งสามารถไปไกลได้อีกหลายร้อยกิโลเมตรเมื่อใช้เชื้อเพลิงร่วมด้วย
แนวทางที่สอง คือใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการทำงานของรถยนต์ลูกผสมหรือรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) พลังงานที่ต้องสูญเสียของเครื่องยนต์ เช่น ขณะเบรกเพื่อชะลอความเร็วจะถูกนำมาผลิตพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่และจะนำออกมาช่วยขับเคลื่อนรถยนต์เพื่อลดการใช้น้ำมัน เป็นต้น รถยนต์ไฮบริดถือเป็นรอยต่อของการพัฒนาพลังงานก่อนจะเข้าสู่ยุคใหม่อย่างรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน
ประกันรถกระบะ
ประกันรถยนต์ชั้น 2
F (Fuel Cell) เซลล์เชื้อเพลิง พลังงานทดแทน
เซลล์เชื้อเพลิงมีลักษณะคล้ายกับแบตเตอรี่ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจน สามารถเปลี่ยนพลังงานเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ ทำให้ไม่ก่อมลพิษกับสิ่งแวดล้อมเนื่องจากสิ่งที่ได้จากปฏิกิริยาในเซลล์เชื้อเพลิงคือพลังงาน น้ำ และความร้อนเท่านั้นดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพลังงานไฮโดรเจนที่ได้จากเซลล์พลังงานนั้นเป็นพลังงานสีเขียว (Green Energy)
นอกจากนี้เซลล์เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้จากปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีโดยตรงโดยไม่มีส่วนใดที่ต้องเคลื่อนที่จึงไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน อีกทั้งตัวเซลล์ก็มีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถติดตั้งไว้ในชุมชนได้ ในทางทฤษฎีเซลล์เชื้อเพลิงสามารถใช้งานกับอุปกรณ์ทุกชนิดที่ต้องการพลังงานไฟฟ้าในการทำงาน เช่นโรงงานผลิตไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงที่จะกลายเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต
G (Gas) ก๊าซ
NGV หรือ Natural Gas Vehicles คือก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์เกิดขึ้นจากการนำก๊าซธรรมชาติ มาอัดจนมีความดันสูงแล้วนำไปเก็บไว้ในถังที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ NGV ถือเป็นเชื้อเพลิงใช้ทดแทนน้ำมันเบนซินหรือดีเซลในรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ด้วยปริมาณคาร์บอนที่น้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น มีคุณสมบัติเป็นก๊าซทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติมีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น NGV จึงได้ชื่อว่าเป็น “เชื้อเพลิงสะอาด” ไม่ก่อให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศได้กล่าวคือสามารถลดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ได้ถึงร้อยละ 50-80 ลดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ได้ร้อยละ 60-90 ลดก๊าซไฮโดรคาร์บอนได้ร้อยละ 60-80 และไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองหรือเขม่าจากท่อไอเสีย
H (Hydrogen) พลังงานไฮโดรเจน
การแสวงหาพลังงานทดแทนในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะลดการใช้พลังงานจากคาร์บอนเนื่องจากส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทว่ายังไม่อาจลดการใช้พลังงานชนิดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งได้ค้นพบพลังงานทดแทนใหม่อย่างพลังงานไฮโดรเจน
มนุษย์สามารถสกัดไฮโดรเจนได้จากน้ำที่มีอยู่อย่างมหาศาลบนผิวโลก และเมื่อนำไปใช้ในกระบวนการเผาไหม้ก็จะได้น้ำกลับคืนมาสู่ธรรมชาติเช่นเดิม สิ่งนี้ทำให้พลังงานไฮโดรเจนแตกต่างจากน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่เมื่อเกิดการเผาไหม้ขึ้นแล้วจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
ในด้านของเทคโนโลยียานยนต์นั้นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฮโดรเจนอยู่ที่ “เซลล์เชื้อเพลิง” ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนได้รับความสนใจมากขึ้นจากบริษัทผลิตรถยนต์หลายค่ายไม่ว่าจะเป็น Mercedes Benz BMW Mazda โดยเฉพาะบริษัทจีเอ็ม (GM)ที่ได้เปิดตัวโครงการ “Project Driveway” ซึ่งเป็นการทดลองตลาดของรถยนต์ ฟิวล์เซลล์ Fuel Cell ครั้งแรกที่ใหญ่ที่สุดโดยให้ผู้ขับขี่หลากหลายอาชีพนำรถยนต์ เชฟโรเลต อีควิน็อกซ์ เอฟซีวี (Chevrolet Equinox Fuel Cell Vehicles) กว่า 100 คันไปใช้งานในพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อพิจารณาภาพรวมของสมรรถนะรถยนต์ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีสีเขียว พลังงานทดแทน
การเดินทางจาก C (คาร์บอน) ถึง H (ไฮโดรเจน) เป็นหนทางแห่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยียานยนต์ของมนุษย์ ขณะที่ยุคพลังงานคาร์บอนกำลังจะสิ้นสุดลง พลังงานทดแทนเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต เทคโนโลยียานยนต์กับพลังงานทดแทนจึงเป็นการเดินทางบนถนนสายเดียวกันโดยมีปลายทางคือความอยู่รอดของมนุษย์ในโลกแห่งพลังงาน แต่หากปราศจากสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้วการเดินทางแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้คงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
มิตรกับสิ่งแวดล้อม
การเดินทางจาก C (คาร์บอน) ถึง H (ไฮโดรเจน) เป็นหนทางแห่งความสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม แหล่งทรัพยากรอื่นๆ ในโลกยังรอการค้นพบจากมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าทรงภูมิปัญญาว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ การดำรงชีวิตของมนุษย์กับความสมดุลของสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเดินสวนทางกันเสมอไป เพียงแต่มนุษย์ควรหันมาตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ใช่คิดแต่จะตักตวงจากความอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะสุดท้ายแล้วย่อมเท่ากับเป็นการทำลายมนุษย์ด้วยกัน
มาทำความรู้จักกับรถยนต์ไฮบริดกันเถอะ
รถไฮบริด เป็นรถลูกครึ่งระหว่างรถที่ใช้น้ำมันอย่างเดียว กับรถไฟฟ้าเพียวๆ เนื่องจากรถที่ใช้น้ำมันก็เจอปัญหาน้ำมันแพง ปล่อยมลพิษเยอะ ส่วนรถที่ใช้ไฟฟ้าเพียวๆ เทคโนโลยีตอนนี้ก็วิ่งได้แค่ความเร็วต่ำ และต้องเติมไฟกันบ่อยๆ และใช้เวลาเติมเป็นชั่วโมง เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือเอาข้อดีของรถทั้งสองชนิดมายำรวมกันจึงกลายเป็น รถไฮบริด
สรุป ก็คือรถไฮบริด เป็นรถที่มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันและระบบมอเตอร์ไฟฟ้ามาขับเคลื่อนผสมผสานกัน และรูปแบบที่นิยมใช้กันในรถยนต์ไฮบริดปัจจุบัน ก็คือ แบบ Power-split หรือ ซีรีส์-พาราลเรล (Series-Parallel Hybrid) โดยในช่วงปกติที่ต้องใช้ความเร็วรอบสูงๆ ก็จะใช้ระบบเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน ส่วนในช่วงที่เราใช้ความเร็วรอบต่ำๆ อย่างวิ่งในเมือง ช่วงรถติดรถก็จะปรับให้ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าโดยดึงเอาพลังงานออกมาจากแบตเตอรี่ทำงานแทน หรือในช่วงเร่งแซงก็จะใช้ทั้งสองตัวประสานพลังร่วมกัน และด้วยเหตุที่มีระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยนี่แหละ ทำให้รถไฮบริดมีการประหยัดน้ำมันมากกว่ารถยนต์ทั่วไป
ข้อดีของรถยนต์ไฮบริด
1. ประหยัดน้ำมันได้ระหว่าง 10-50% ด้วยพลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า (มีตัวเลขประหยัดมาตรฐานที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตรในทุกสภาวะ)
2. เครื่องจะเงียบเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่
3. ช่วยลดมลพิษทางอากาศ
ข้อเสียของรถยนต์ไฮบริด
1. ราคาค่อนข้างแพง
2. แบตเตอรี่ราคาแพง ถ้าเสียเปลี่ยนทีก็เป็นแสน
3. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง
รถยนต์ไฮบริดยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ในบ้านเรา ด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง อุปกรณ์ต่างก็ยังมีราคาแพงอยู่ และอู่ที่ชำนาญตอนนี้ยังมีน้อย เสียทีอาจจะต้องลากเข้าศูนย์กันอย่างเดียว ดังนั้นคงต้องคิดให้รอบคอบล่ะครับว่ามันคุ้มกับการลงทุนจริงหรือเปล่า แต่แนวโน้มของโลกจะออกไปในทางลดโลกร้อนและประหยัดพลังงานมากขึ้น ผู้คนตื่นตัวมากขึ้น ค่ายรถหลายๆ ค่ายก็ต้องพัฒนารถในแนวนี้ออกมามากขึ้น เมื่อมีการแข่งขันสูงราคาก็ย่อมจะลดลงแน่นอน ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อผูบริโภคอย่างเราๆ
สำหรับใครๆ ที่ต้องการประหยัดด้วย ต้องการความทันสมัยด้วย รถยนต์ไฮบริด ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการลงทุนที่สูงเอาการเหมือนกัน