เรื่องของโซฟา

เรื่องของโซฟา HOME & KITCHEN


          ห้องแต่ละห้องมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน  ดังนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ ในแต่ละห้องก็ต้องต่างกันไปตามประโยชน์ใช้สอย  การเลือกเฟอร์นิเจอร์ควรคำนึงถึงลักษณะของบ้านเป็นสำคัญ  นับตั้งแต่สไตล์การตกแต่งบ้าน  พื้นที่ของบ้าน  วัสดุที่ใช้ในการทำ  การใช้งานและที่สำคัญที่สุด  คือ  ความชอบของเจ้าของบ้าน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟา

1. ห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก  หลาย ๆ บ้านจัดห้องนี้ไว้เป็นห้องเดียวกัน  ห้องนี้จึงเป็นเสมือนหน้าตาของบ้าน  ที่ผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน  หลักการจัดจึงต้องคำนึงถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในห้องนี้  ตัวอย่างเช่น  ให้เป็นที่สันทนาการของครอบครัว  ก็ควรมีความเป็นส่วนรวม  สะดวกสบาย  เฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญในการจัดตกแต่งห้องรับแขก  ห้องนั่งเล่น  ได้แก่  โซฟาและเก้าอี้  ใช้เป็นที่นั่งแบบสบายเป็นกันเอง  เลือกให้เหมาะกับขนาดของห้องและการใช้งาน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาห้องรับแขกผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาห้องรับแขก
2. ห้องรับประทานอาหาร  เฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญ  คือ  โต๊ะอาหารและเก้าอี้  หรืออาจมีชั้นวางของลักษณะโดยรวมของเก้าอี้ที่ใช้นั่งทานข้าว  คือ ควรมีความสูงพอเหมาะที่จะทานอาหารบนโต๊ะได้อย่างสะดวกสบาย มีพนักพิงที่ไม่เอนเกินไป  และต้องคำนึงถึงจำนวนสมาชิกในครอบครัวด้วย



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาห้องรับประทานอาหารผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาห้องรับประทานอาหาร
3. ห้องนอน  เฟอร์นิเจอร์  สำคัญที่สุดคือเตียงนอน และที่นอนต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้ออาจขอพนักงานขายทดลองนอนประมาณ 10 นาที  เพราะเตียงหลังหนึ่งเราต้องใช้สำหรับการนอนเป็นเวลานาน  ความสบายนั้นขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของที่นอนในการช่วยรักษาให้กระดูกสันหลังอยู่ในตำแหน่งปกติ
เครื่องนอนอันประกอบไปด้วย  ผ้านวม  ผ้าปูที่นอน  หมอน  และผ้าคลุมเตียง  สิ่งเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ควรคำนึงถึงและก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อ  เครื่องนอนจะต้องดูสภาพการตกแต่งภายในห้องนอนโดยทั่ว ๆ ไปเสียก่อน  ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีมากมายหลายรูปแบบให้ได้เลือกสรร ทั้งที่ทำสำเร็จรูปและสั่งทำตามความต้องการ
 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาห้องนอน
      การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์OFFICE PRODUCTS

    การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ นอกจากจะดูแบบที่ชอบและราคาที่เหมาะสมแล้วเรื่องวัสดุก็มีความสำคัญ  แบบเหมือนกันแต่ราคาไม่เท่ากัน  วัสดุที่ใช้น่าจะแตกต่างกัน  ประเภทของเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ  เช่น  เฟอร์นิเจอร์ไม้  เฟอร์นิเจอร์ผ้า  เฟอร์นิเจอร์หนัง  เฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยโลหะและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยหวาย
     เรื่องของโซฟา ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้ดูลักษณะความแน่น  หนัก  ของคุณภาพไม้ ยกขึ้นดูน้ำหนัก  อีกเรื่องที่ต้องพิจารณา  คือ ดูความหนาแน่นของการประกอบ ลองจับโยก  เช็ครอยต่อต่าง ๆ  ต้องแน่นหนาและแข็งแรง
      เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้  MDF ปาร์ติเกิลบอร์ดและไม้อัด  ซึ่งทำจากเศษไม้ที่มีลักษณะต่างกันนำมาขึ้นรูปใหม่ ได้เป็นลักษณะไม้แผ่น  สามารถนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ได้ดีทั้ง 3 ชนิด เฟอร์นิเจอร์ที่ขายอยู่ในท้องตลาดส่วนมากเป็นวัสดุประเภทนี้  ผู้ออกแบบจะเลือกใช้ตามความเหมาะสมในเรื่องโครงสร้างและการตกแต่งชิ้นเฟอร์นิเจอร์นั้นๆ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาMDF
      การแยกวัสดุจากการมองมีหลักง่าย ๆ คือ  ถ้าเป็นไม้  MDF จะขึ้นรูปจากผงไม้ นำมาอัดแน่นได้เป็นแผ่นไม้  ส่วนปาร์ติเกิลจะใช้เศษไม้ชิ้นมาอัด  ลักษณะยังเห็นเป็นเสี้ยนไม้ ไม่นิยมทำรูปทรงโค้ง  ราคาปาร์ติเกิลจะต่ำกว่าไม้  MDF  ส่วนไม้อัดจะเป็นไม้ที่แข็งแรงที่สุด  และราคาสูงกว่าไม้ MDF และไม้ปาร์ติเกิล

          การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนห่อหุ้มเป็นหนังแท้  ควรสังเกตรอยแตกของหนัง  ดูพื้นผิวโดยรวมของหนัง  หนังแท้ที่คุณภาพดีต้องไม่มีรอยตำหนิ  ควรเป็นลายเหมือนกันทั้งตัว ไม่ควรมีส่วนพังผืด  ส่วนพับข้างขา และรอยแส้  สีของหนังต้องมีสีเดียวกันสม่ำเสมอทั้งตัวหนังแท้  ที่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์  ได้แก่
 
1.  หนังวัว  ลักษณะหนังหนา  นิ่ม  และชิ้นใหญ่  เหมาะสำหรับทำโซฟาตัวใหญ่
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โซฟาหนังวัว
2.  หนังควาย  ลักษณะหนังหนา  แข็ง  และชิ้นเล็กกว่าหนังวัว  เหมาะสำหรับทำโซฟาขนาดกลาง

3.  หนังม้า  ลักษณะหนังบาง  แข็ง  และชิ้นเล็ก  เหมาะสำหรับทำโซฟาตัวเล็ก ๆ

4.  หนังแกะ  ลักษณะหนังหนา   นิ่มมาก  และชิ้นเล็ก  เหมาะสำหรับทำเบาะโซฟาเล็ก ๆ หรือทำเครื่องหนัง เช่น กระเป๋า






โต๊ะรับแขก จัดเป็นอีกหนึ่งเฟอร์นิเจอร์สำคัญที่จะเติมเต็มห้องรับแขกให้สวยสมบูรณ์และใช้งานสะดวกมากขึ้น หลากหลายรูปแบบบ แต่หลายบ้านอาจจะปล่อยไว้โล่ง ๆ อยู่แค่หน้าโซฟาเพราะไม่รู้จะตกแต่งอะไรเลย ทั้งที่ความเป็นจริงการจัดโต๊ะรับแขกให้น่ามอง สวยงาน น่านั่ง จะช่วยเพิ่มความสวยงามและมีสไตล์ให้กับห้องรับแขกได้อย่างแน่นออน เรามาดูว่าโต๊ะรับแขกควรร)แบบและมีแนวทางใการจัดวางอย่างไรบ้าง


1. อวดของสะสมสุดรักสุดหวงกันหน่อย

         อย่าจำกัดว่าของสุดรักที่สะสมมานาน หรือแม้แต่ของที่ระลึกจากการเดินทางต่าง ๆ ต้องอยู่ในตู้โชว์เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาจัดเรียงไว้บนโต๊ะรับแขกบ้าาง เพื่อความสวยงามและสร้างบรรยากาศของการพักผ่อนได้ ดื่มกาแฟไปพร้อมดูของสะสมเพลิน ๆ

2. จัดให้สวยด้วยผ้าปูโต๊ะ

          เลือกผ้าลายสวยราคาไม่แพงก็สามารถเนรมิตให้โต๊ะรับแขกสวยหวานมีสไตล์ แถมยังช่วยปกปิดความเก่าหรือริ้วรอยที่ไม่สวยงามได้อีกด้วย ลองพิจารณาผ้าลูกไม้หรือโครเชต์เป็นทางเลือกดู ไม่ว่าจะปูทั้งโต๊ะหรือประดับแค่บางส่วน ก็สร้างความสวยงามได้อย่างดี

3. วางถาดเพิ่มความหรูหราและเป็นสัดส่วน

          เปลี่ยนโต๊ะรับแขกโล่ง ๆ น่าเบื่อให้ดูมีมิติและเป็นสัดส่วนด้วยการหาถาดสวย ๆ สักใบมาวาง หรือจานขนาดใหญ่ แล้วเรียงของใช้ประจำไม่ว่าจะเป็นหนังสืออ่านเล่น รีโมททีวี หรือเทียนหอม กจะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทำให้โต๊ะรับแขกดูหรูหราขึ้นด้วย

4. จุดประกายความสวยด้วยตะเกียง

          ในยามค่ำคืนแสงสวย ๆ ย่อมสร้างบรรยากาศสุดพิเศษให้กับพื้นที่ ถ้าอย่างนั้นให้ลองหาตะเกียงดีไซน์สวยมาตั้งสักอัน ที่นอกจากจะช่วยประดับตกแต่งยังจุดความสว่างอย่างนุ่มนวลหลังพระอาทิตย์ตก ซึ่งไอเดียนี้จะใช้เป็นเทียนหลาย ๆ เล่มก็มีสไตล์ไปอีกแบบ

5. สูดกลิ่นอายของธรรมชาติ

          คงไม่มีอะไรจะผ่อนคลายจิตใจได้ดีไปกว่าของตกแต่งจากธรรมชาติ ดังนั้นให้จัดเรียงก้อนหิน กิ่งไม้ เครื่องสานขนาดพอเหมาะ หรือสิ่งของสัมผัสธรรมชาติอะไรก็ได้ไว้บนโต๊ะรับแขก รับรองจะช่วยเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นที่ผ่อนครายได้อย่างดีเลยทีเดียว

6. ผ่อนคลายด้วยดอกไม้

          ดอกไม้อยู่ที่ไหนก็สวย เพราะสีสัน และกลิ่นหอม ๆ นั้นเหมาะจะประดับประดาในทุกที่ ดังนั้นอย่ามองข้ามการหาดอกไม้มาตั้งไว้บนโต๊ะรับแขก นั่งเล่นชมดอกไม้ไปเพลิน ๆ ไม่ต้องสรรหาสวนนอกบ้านที่ไหนให้ยุ่งยากเลยล่ะ
7. จับขวดแสนสวยมาตั้งโชว์

          สารพันขวดแก้วทรงสวยที่ทั้งเหลือใช้และตั้งใจซื้อมา ก็นำมาตกแต่งโต๊ะรับแขกได้ เพราะขวดแก้วรูปทรงแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ เมื่อจับมารวมกันก็คืองานศิลปะสุดล้ำ ดังนั้นถึงเวลาไปรื้อขวดแก้วในครัวแล้วนำมาตั้งไว้บนโต๊ะแล้ว ไม่ว่าจะปักดอกไม้ประดับด้วย

8. แหวกแนวด้วยโต๊ะคู่

          ไม่มีกฎข้อไหนที่บอกว่าโต๊ะรับแขกต้องมีโต๊ะเดียวเท่านั้น เพราะโต๊ะเล็ก ๆ 2 ตัวเมื่อนำเรียงกัน ก็สามารถกลายเป็นโต๊ะรับแขกที่ทั้งสวยแปลกและใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพราะสามารถเคลื่อนย้ายแยกกัน เหมาะสำหรับตั้งไว้ใกล้มือแขกมาเยือนเพื่อความสะดวกในการหยิบหรือวางสิ่งของต่าง ๆ นั่นเอง

9. ใช้สีสันจุดประกายความสดใส


          เติมความสวยให้โต๊ะรับแขกโดยตกแต่งด้วยสิ่งของสีสันสดใส หรืออาจจะเลือกใช้โต๊ะที่สีสวยในตัวของมันเองเลย ทีนี้ไม่ว่าโซฟาจะสีจืดแค่ไหน ช่วงเวลาในห้องนั่งเล่นก็ดูสนุกขึ้นได้แล้ว
10. ผสมผสานรูปทรงที่หลากหลาย

          หากท้ายที่สุดมีของที่อยากจับโชว์หลายชิ้นเหลือเกินไม่ต้องทำให้รก ถ้าอย่างนั้นก็รวบทุกอย่างมาวางบนโต๊ะเลย โดยอย่าลืมกฎเหล็กที่ว่าข้าวของสารพันเหล่านี้จะอยู่รวมกันอย่างสันติและสวยงามได้ ต้องมีรูปทรงและความสูงที่หลายหลายเท่านั้น โดยอย่าลืมจัดเรียงให้ทุกชิ้นได้อวดตัวเผยความสวยงามไม่บังกันและเป็นละเบียน เพียงเท่านี้โต๊ะรับแขกก็สวยเด่นไม่เหมือนใครแล้ว

อะไรคือโทรศัพท์มือถือ(G)?

อะไรคือโทรศัพท์มือถือ(G)?
ประวัติของ โทรศัพท์มือถือ(Generation)

"โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นอุปกรณ์สื่อสารอิเลคทรอนิคส์ลักษณะเดียวกับโทรศัพท์บ้านแต่ไม่ต้องการ สายโทรศัพท์จึงทำให้สามารถพกพาไปที่ต่างๆได้ โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่าน สถานีฐาน โดยเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของ โทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอื่นๆ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นเก่า


       โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจะมีคุณสมบัติในการสื่อสารทางเสียงแล้วยังมีความสามารถอื่นอีกเช่นสนับสนุนการสื่อสารด้วยข้อ ความ เช่น SMS ,การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต, การสื่อสารด้วยแบบ Multimedia เช่น
MMS, นาฬิกา, นาฬิกาปลุก, นาฬิกาจับเวลา, ปฏิทิน, ตารางนัดหมาย, สเปรดชีต, โปรแกรมประมวลผลคำ, รวมไปถึงความสามารถในการรองรับแอปพลิเคชันของจาวาเช่น เกมส์ต่างๆได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นเก่าผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นใหม่ 2015ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นใหม่ 2015



วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ
อะไรคือโทรศัพท์มือถือ(G)?

ยุค 1G (1st Generation) เริ่มตั้งแต่ยุคแรก ระบบยังเป็นระบบอะนาล็อก (Analog) และมีการแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็กๆ ในยุคนี้เราสามารถใช้งานทางด้าน Voice ได้เพียงอย่างเดียว แต่อย่างไร
ก็ตาม ในยุคนี้ผู้ใช้ก็ยังไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้บริการประเภทอื่น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นแรกของโลก1G

     ยุค 2G (2nd Generation) เนื่องจากผู้ใช้มีความต้องการและความหลากหลายด้าน การบริการมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุจากแบบอะนาล็อกมาเป็นแบบ digital ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูลได้นอกเหนือจากบริการเสียง ทำให้ยุคนี้กลายเป็นยุคเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือ และเพราะการให้บริการทางด้านข้อมูล ทำให้เกิดบริการอื่นๆ ที่ตามมมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นDownload Ringtone
Wallpaper Graphic ต่างๆ แต่บริการในยุคนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือ2g 2G

    ยุค 2.5G (2.5 Generation) หลังจากนั้นเป็นยุคที่อยู่ระหว่าง 2G และ 3G ซึ่งก็คือ 2.5G ใน 2.5G นี้เป็นยุคที่มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) มาใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มากกว่ายุค 2Gเทคโนโลยี GPRS สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 kbps แต่ ความเร็วของ GPRS ในการใช้งานจริงจะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น ซึ่งในยุค 2.5G นั้นจะเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้บริการในส่วนของข้อมูลมากขึ้น และการส่งข้อความก็พัฒนาจาก SMS มาเป็น MMS โทรศัพท์มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจากจอขาวดำมาเป็นจอสี เสียงเรียกเข้า จากเดิมที่เป็นเพียง Monotone ก็เปลี่ยนมาเป็น Polyphonic รวมไปถึง True tone ต่างๆ ด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือ2g2.5G
ต่อมาในยุค 2.75G คือยุคที่ต่อเนื่องมาจาก GPRS แต่จะมีการพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น และเรียกเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลว่า EDGE (Enhanced Data rates
for Global Evolution) ซึ่งจะมีความเร็วมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า หรือมีความเร็วสูงสุดประมาณ 384 kbps แต่มีความเร็วในการใช้งานจริงประมาณ 80-100 kbps

      ยุค 3G (Third Generation) เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 นั้นจะเป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานการรับส่งข้อมูล และเทคโนโลยีที่อยู่ในปัจจุบันเข้าด้วยกัน รวมทั้งส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สาย (Wireless) ที่ความเร็วที่สูงกว่ายุค 2.75G นอกจากนี้ 3G ยังสามารถให้บริการมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น (Application) รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น เช่น การรับส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ การใช้บริการ Video/Call Conference ดาวน์โหลดเพลง ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ ดู TV Streaming ต่างๆได้
ความโดดเด่นของ 3G
    สามารถรับส่งข้อมูลโดยจะเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น สามารถให้บริการระบบเสียงและแอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น เครื่องเล่นวีดีโอ ฟังเพลง Mp3 ดาวน์โหลดเกม แสดงกราฟฟิก และการแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ สร้างความสนุกสนาน และสมจริงมากขึ้น รวมถึงการให้บริการ Mobile banking เช่น การโอนเงิน เช็คยอด
เงิน ซื้อขายของ ซึ่งจะทำให้ชีวิตสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้นโดยโทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์แบบพกพา วิทยุส่วนตัว และกล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่าน
โทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ) แก้ไขข้อมูลส่วนตัว ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์ ข่าวบันเทิง ข้อมูลด้านการเงิน ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นใหม่ 2015ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือรุ่นใหม่ 20153G


โปรโมชั่นพิเศษ Samsung Galaxy S6edge ลด 4,000 บาท

โดยสรุปแล้วแยกได้ดังนี้ครับ

-1G โทรศัพท์เคลื่อนทียุคอนาล็อกให้บริการด้านเสียงเพียงอย่างเดียว
-2G โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคนี้เปลี่ยนจากการสื่อสารแบบอนาล็อกมาเป็นแบบดิจิตอลแทนทำให้มีการใช้งานด้านข้อมูล (data)เพิ่มขึ้น
-2.5G  มีการใช้เทคโลยี GPRS ซึ่งมีความสามารถในการส่งข้อมูลในความเร็วที่สูงขึ้นทำให้ส่งข้อมูลได้หลากหลายกว่าเดิมมาก
-2.75G  เป็นช่วงพัฒนาต่อยอดมาจากGPRS จนกลายมาเป็น EDGEซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูลได้มากกว่า GPRS ประมาณ 3เท่า
 -3G  โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูงโดยจะเน้นการเชื่อมต่อแบบ wirelessด้วยความเร็วสูง ทำให้มีบริการมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
-4G  ระบบโทรศัพท์มือถือที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบ เชื่อกันว่าโทรศัพท์มือถือในยุคนี้จะสามารถสนับสนุน แอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิธสูงเช่น ความจริงเสมือน 3 มิติ (3D virtual reality)
หรือ ระบบวิดีโอที่โต้ตอบได้ (interactive video) เป็นต้น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มือถือ4g 3มิติ


 4G คืออะไร?ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 4g คือ-อะไร

          4G คือชื่อที่ใช้เรียกแทนยุคที่ 4 ของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ โดยตัวอักษร G นั้นย่อมาจาก Generation ที่แปลว่ายุคสมัย ซึ่งก่อนหน้านี้มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ 1G, 2G และ 3G ที่คนไทยส่วนใหญ่ใช้กันในปัจจุบัน สำหรับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคมีดังนี้

          1G = ยุคเริ่มต้นของโทรศัพท์มือถือ ใช้สัญญาณแบบอนาล็อกล้วน ๆ โทรคุยกันได้อย่างเดียว

          2G = ยุคที่โทรศัพท์มือถือเริ่มมีการส่งข้อมูลแบบดิจิตอล เริ่มมีการส่งข้อความ SMS หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยีอย่าง GPRS และ EDGE ได้

          3G = ยุคที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสมาร์ทโฟนอย่างเต็มรูปแบบ สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีอย่าง HSPA (หรือที่เราเห็นไอคอน H บนจอมือถือ)

          4G = ยุคล่าสุดที่เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี LTE ซึ่งทำให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วที่สูงกว่า 3G หลายเท่าตัว

           ทั้งนี้แท้จริงแล้วในแต่ละยุคจะมีการพัฒนาแบบย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น 2.5G 2.75G, 3.5G, 3.75G, 3.9G ซึ่งจะมีเทคโนโลยีที่ค่อนข้างหลากหลายกันออกไป

4G ดีกว่า 3G อย่างไร ?


          จุดเด่นหลัก ๆ ที่ 4G ดีกว่า 3G ก็คือความเร็วอินเทอร์เน็ต โดย 3G จะมีความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 200kbit/s หรือ 0.2Mbit/s ส่วน 4G จะมีความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 100Mbit/s ทั้งนี้ความเร็วอินเทอรฺ์เน็ตไม่ว่าจะเป็น 3G หรือ 4G ล้วนขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ, แพ็กเกจที่ใช้ รวมทั้งจำนวนคนที่ใช้งานในพื้นที่และช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบความเร็วตามแต่ละรูปแบบการใช้งานโดยประมาณได้ดังนี้

โหลดเกมขนาด 20MB

          - 3G ใช้เวลา 3 นาที
          - 4G ใช้เวลา 25 วินาที

สตรีมเพลง

          - 3G ใช้เวลา 10 วินาที
          - 4G ใช้เวลา 1 วินาที

สตรีมวิดีโอ SD

          - 3G ใช้เวลา 20 วินาที
          - 4G ใช้เวลา 1 วินาที

สตรีมวิดีโอ HD

          - 3G ใช้เวลา 1-5 นาที
          - 4G ใช้เวลา 30 วินาที

อัพโหลดรูปภาพ

          - 3G ใช้เวลา 25 วินาที
          - 4G ใช้เวลา 1 วินาที

อยากใช้ 4G ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

          การจะใช้งาน 4G นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่รองรับ 4G หรือ LTE และเปิดใช้งานแพ็กเกจ 4G ของเครือข่ายที่มีให้บริการ เท่านี้ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ 4G ได้แล้ว