ช็อกโกแลตมันมาจากใหน?

ช็อกโกแลตมันมาจากใหน?


ช็อกโกแลตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากต้นโกโก้และทำมาจากเมล็ดของโกโก้และฝัก การทำช็อกโกแลตในอดีตก็คือการนำทัวร์กรุ๊ปโก้นั้นมาประสมกับเนยโกโก้แล้วก็น้ำตาลคั่วให้หอม
โดยส่วนประกอบของเมล็ดโกโก้นั้นแบ่งแยกออกได้ 3 อย่างดังนี้




1.โกโก้  คือเมล็ดของต้นโกโก้
2.เนยโกโก้ คือไขมันของเมล็ดโกโก้
3.ช็อกโกแลต  คือส่วนผสมของเมล็ดและเนยโกโก้

ช็อกโกแลตได้ถูกค้นพบมาตั้งนานแล้วตั้งแต่สมัยอียิปต์เมื่อ 3000 ปีที่แล้วและหลังจากนั้นชนชาติอเมริกันได้มาค้นพบอีกครั้งหนึ่งจากชาวมายา

จริงๆแล้วช็อกโกแลตนั้นไม่ได้มีความหวานเลยแต่จะมีรสชาติที่เข้มข้นโดยการทำให้มีรสหวานขึ้นก็เผื่อว่าจะทำให้รสชาติของช็อกโกแลตนั้นดีขึ้นนั่นเองหลายๆที่ก็สามารถผสมครีมน้ำอ้อยและหรือผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มเข้าไปด้วยซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรสชาติช็อกโกแลตได้ได้หลายรูปแบบทำให้เป็นที่ต้องการของผู้คนที่ได้เลือกซื้อนั่นเอง
Lazada Indonesia
การทำช็อกโกแลตเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์
   เตรียมอุปกรณ์    
          ช็อกโกแลต
          หม้อสำหรับต้มน้ำ
          ภาชนะทนความร้อนสำหรับละลายช็อกโกแลต
          พิมพ์ช็อกโกแลตรูปทรงตามที่ชอบ


    วิธีทำ

          1. หั่นช็อกโกแลตให้เป็นชิ้นเล็ก  จากนั้นก็นำช็อกโกแลตใส่ภาชนะสำหรับละลาย

          2. ใส่น้ำลงในหม้อประมาณ 1/4 ของหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด จากนั้นลดไฟให้เบาลง

          3. วางภาชนะที่ใส่ช็อกโกแลตลงบนหม้อ อย่าให้ระดับน้ำในหม้อเดือดพล่านจนสัมผัสกับก้นภาชนะ เพราะไอน้ำจะลงไปผสมกับช็อกโกแลต ทำให้ช็อกโกแลตไม่เงา และไม่สวย ละลายช็อกโกแลตด้วยไอน้ำจนละลายหมด ช็อกโกแลตเป็นเนื้อเนียน

                  หรือใช้วิธีนำช็อกโกแลตเข้าไปละลายในไมโครเวฟด้วยไฟอ่อน ครั้งละประมาณ 10-20 วินาที แล้วนำออกมาคนผสมให้ละลายเข้ากันเป็นเนื้อเนียน

          4. ตักเนื้อช็อกโกแลตใส่ลงพิมพ์ที่ต้องการ พักทิ้งไว้จนเย็น นำออกจากพิมพ์ เก็บใส่ตู้เย็น จัดใส่กล่องให้สวยงาม

เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ช็อกโกแลตที่แสนวิเศษด้วยฝีมือของคุณเองและมอบให้กับบุคคลอันเป็นที่รักของคนได้

รถยนต์ไฟฟ้าไทย

รถยนต์ไฟฟ้าไทย
นวทางการสนับสนุนให้มีการผลิต “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ของรัฐบาล ทำให้มีการตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าไทยจะก้าวสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้จริงหรือไม่? โดยเฉพาะส่วนประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญ?...กับเรื่องนี้ จากข้อมูลของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ที่สนับสนุนการวิจัยการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และตอนนี้มีแผนพัฒนา สถานีชาร์จ มีการระบุว่า 


สถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังมีปัญหาเรื่องราคารถที่สูง และระยะทางการวิ่งยังไม่ไกลเท่ารถที่ใช้น้ำมันความต่างของรถยนต์ไฟฟ้า คือใช้มอเตอร์แทนเครื่องยนต์ลูกสูบในการขับเคลื่อน และเปลี่ยนจากถังน้ำมันเป็นแบตเตอรี่ แต่ชิ้นส่วนอื่น ๆ อย่างระบบล้อ การบังคับเลี้ยว รวมถึงตัวถังรถ ยังเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้การพัฒนารถของแต่ละค่ายจะออกแบบตัวถังให้มีความเบา
 จึงต้องมีสถานีในการชาร์จไฟที่มาก เพื่อให้ผู้ใช้รถมั่นใจว่าเมื่อขับไปในระยะทางไกล ๆ จะมีที่เติมพลังงาน

Lazada Malaysia
ในอนาคตถ้าแบตเตอรี่สามารถเก็บไฟได้มากขึ้น มีสถานีชาร์จไฟที่เพียงพอ คนจะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ตอนนี้นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า ขณะที่ส่วนประกอบอื่น ๆ ยังใช้เทคโนโลยีเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมัน

 เพื่อที่ระบบไฟฟ้าของรถจะได้ทำงานได้ดีขึ้น ไม่เปลืองไฟที่จะมาใช้ในการขับเคลื่อน

การเก็บพลังงานของรถที่ใช้ไฟฟ้ากับน้ำมันมีความต่างกัน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้านั้น ความจุของแบตเตอรี่ อย่าง “นิสสัน ลีฟ” ปี 2015 การชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งได้ 100 กว่ากิโลเมตร ขณะที่ในรุ่นที่มีราคาแพงขึ้นอาจวิ่งได้ถึง 300 กิโลเมตร แต่ราคารถก็จะสูงขึ้นอีก จากเดิมที่ก็สูงอยู่แล้ว ขณะที่รถยนต์น้ำมัน โดยเฉลี่ยเมื่อเติมเต็มถังอาจวิ่งได้ระยะทาง 200–300 กิโลเมตร

สิ่งที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพง เนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่มีราคาสูง โดยโรงงานผลิตแบตเตอรี่ส่วนใหญ่อยู่ในจีน โดยเทรนด์แบตเตอรี่ที่ใช้คือ “ลิเธียมไอออน” ด้านความปลอดภัยของสถานีชาร์จ จากการศึกษาที่ผ่านมายังไม่มีปัญหา เพราะระบบของตัวรถและระบบของสถานีเวลาชาร์จระบบจะมีการสื่อสารระหว่างกันเสมอ ว่าการชาร์จตอนนี้อยู่ในระดับใด หากมีปัญหาระบบจะแจ้งเตือน ตัดการจ่ายไฟในทันที ต่างจากการชาร์จแบตฯของโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากแบตฯในรถมีตัวเซ็นเซอร์ ที่คอยเตือนว่า ความร้อนตอนนี้อยู่ในระดับไหน
ซึ่งองค์ความรู้ในการพัฒนาการกักเก็บไฟฟ้ายังต้องมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น เพื่อให้สมรรถนะการใช้งานเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

 หากปล่อยให้ใช้งานต่อไปอาจเกิดปัญหาใดขึ้น ซึ่งก็จะมีการแจ้งเตือนก่อนเสมอ
การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้ามีด้วยกัน 2 แบบ คือ การชาร์จที่บ้าน จะใช้เวลา 6–8 ชั่วโมง โดยสามารถใช้ไฟบ้านชาร์จได้เลย อีกแบบเป็นการชาร์จที่สถานี ซึ่งใช้กำลังไฟสูงกว่า โดยใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็จะชาร์จเต็มความจุ


แม้หลายคนมองว่า เมืองไทยมีอุณหภูมิที่ร้อน อาจทำให้แบตเตอรี่มีปัญหา แต่จริง ๆ แล้วในรถยนต์ไฟฟ้ามีระบบระบายความร้อน ดังนั้นจึงสามารถรักษาอุณหภูมิในระบบให้อยู่ในสภาวะการทำงานได้ดีเป็นปกติ ส่วนความเร็วรถยนต์ไฟฟ้า ตอนนี้พัฒนาให้วิ่งได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอในการวิ่งในเมือง และเดินทางไปต่างจังหวัดใกล้ ๆ

ทับทิมกับสารต้านอนุมูลอิสระ


ทับทิมกับสารต้านอนุมูลอิสระ


ทับทิม ( Punica granatum L.) เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์และได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ตั้งแต่ยุคอียิปต์ ในปัจจุบันมีการนำทับทิมมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย เช่น อาหาร น้ำผลไม้ รวมถึงการนำมาใช้ในการต้านชรา ซึ่งมีการค้นพบว่าส่วนต่าง ๆ ของทับทิมไม่ว่าจะเป็น น้ำทับทิม เมล็ด ราก ดอก และเปลือกไม้ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ซึ้งมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ซึ่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้นใด้นำมาใช้ในเชิงการค้า ทั้งการขายผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากทับทิมเพื่อช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและทำให้อ่อนเยาว์ แต่จริง ๆ แล้ว ทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระจริงหรือ ต้องมาดูกัน

   จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าในส่วนต่าง ๆ ของทับทิม เช่น น้ำทับทิม น้ำมันจากเมล็ดทับทิม และเปลือกทับทิมสามารถต้านอนุมูลอิสระที่ดี เมื่อทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการและภายในร่างกายของสัตว์ทดลอง โดยทับทิมมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น phenolics, flavonoids, ellagitannins และ proanthocyanidin

 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า แบคทีเรียในลำไส้สามารถเปลี่ยน ellagitannin ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ คือ Urolithin A ซึ่ง Urolithin A จะทำหน้าที่ในการนำไปใช้ให้เกิดการกำจัดไมโทคอนเดรีย (mitochondria) หรือที่เรียกว่ากระบวนการ “mitophagy” หากเซลล์ในร่างกายมีการสะสมไมโทคอนเดรียที่ไม่สามารถทำงานได้ จะนำสู่โรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการมีอายุที่มากขึ้น เช่น โรคพาร์กินสัน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบฤทธิ์ของ Urolithin A ในหนอนตัวกลม (C. elegans) ซึ่งเป็นสัตว์ทดลองที่นิยมใช้ในการทดสอบฤทธิ์ในการต้านชรา เนื่องจากวงจรชีวิตค่อนข้างสั้น จากการทดลองพบว่าอายุขัยของหนอนตัวกลมกลุ่มที่ได้รับ Urolithin A นั้นเพิ่มขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลอง และเมื่อทำการศึกษาในหนูก็ให้ผลการทดลองเช่นเดียวกัน โดยพบว่าหนูในกลุ่มที่ได้รับ Urolithin A มีความทนต่อการวิ่งออกกำลังกายได้ดีกว่าหนูในกลุ่มที่ไม่ได้รับ Urolithin A ถึง 42% เมื่อหนูทั้ง 2 กลุ่มนั้นถูกทำให้เกิดความเสื่อมของกล้ามเนื้อเนื่องมาจากการมีอายุที่มากขึ้น

จากการศึกษาที่กล่าวมา อาจกล่าวได้ว่า Urolithin A เป็นสารที่น่าสนใจและมีฤทธิ์ในการต้านความชราที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม Urolithin A ไม่ได้เป็นสารสำคัญที่มีอยู่ในทับทิมโดยตรง แต่เป็นสารที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ ellagitannin โดยแบคทีเรียในลำไส้ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ellagitannin ให้กลายเป็น Urolithin A นั้น ขึ้นอยู่กับสปีชีส์ของสัตว์และแบคทีเรียในลำไส้ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของ Urolithin A ที่ได้รับในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ในบางคนอาจไม่มีการผลิต Urolithin A เลย ซึ่งหากคุณเป็นคนที่โชคร้ายนั้นการรับประทานน้ำทับทิมเพื่ให้ต้านอนุมูลอิสระหรือต้านชราอาจไม่ทำให้เกิดผลที่ดีมากนัก นอกจากนี้เรายังพบสารตั้งต้นในการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็น Urolithin A ได้จากพืชตระกลูถั่ว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกด้วยครับ

การเริ่มต้นวิ่ง

การเริ่มต้นวิ่ง ทำอย่างไร

ท่านๆที่วิ่งเป็นประจำทุกวัน เข้าร่วมรายการวิ่งทุกอาทิตย์ ผ่านรายการมาราธอนมาแล้ว น่าจะเคยมีประสบการณ์ที่คนสนิทไม่ว่าจะเป็น เพื่อน แฟน สามี ภรรยา หรือ คุณพ่อ คุณแม่ ฯลฯ ที่ชีวิตปกติไม่เคยได้ออกกำลังกายเลย แต่เห็นเราเป็นตัวอย่างและอยากจะลองเริ่มวิ่ง หรือ เข้าร่วมรายการวิ่งอย่างเราบ้าง เขาเหล่านั้นอาจจะมาถามหรือให้เราช่วยเค้าเริ่มวิ่งได้ถูกต้อง…แล้วเราจะแนะนำหรือช่วยเหลืออย่างไรดี



….เป็นเรื่องปกติครับที่เราอาจจะ “ลืม” ไปว่าระดับของ “คนเริ่ม” กับ “คนรัก” การวิ่ง แตกต่างอยู่มาก55 หรือเราอาจจะจำไม่ได้ว่าการเริ่มจากศูนย์เป็นอย่างไร แล้วไปแนะนำ “วิถีของเรา” แต่กลับเป็นวิธีที่หนักเกินไปสำหรับเค้า แทนที่จะวิ่งด้วยกันได้ กลายเป็นไปทำให้เค้าหมดกำลังใจ และเลิกวิ่งไปซะก่อน ลองไปดูคำแนะนำของ Jeff Galloway อดีตนักวิ่งโอลิมปิกทีมชาติสหรัฐอเมริกา นักเขียนและโค้ชนักวิ่งชื่อดังดูจะช่วยให้คนรู้ใจเราอย่างไรดี


วางแผนตารางการวิ่ง
ช่วง 2-3 อาทิตย์แรกลองวิ่งประมาณ อาทิตย์ละ 2-3 วันก่อนครับ โดยใช้เทคนิค “วิ่งสลับเดิน” แบบด้านบนครับ จากนั้นอาทิตย์ถัดๆมาลองเพิ่มเวลาจาก 15 นาที ค่อยๆเพิ่มเป็น 20, 25 จนได้ 30 นาทีดูครับ หลังจากนั้น…ค่อยๆเพิ่มสัดส่วนการวิ่งต่อการเดินใน 1 นาที ให้มากขึ้นครับ เช่นว่า อาจจะเริ่มเปลี่ยนเป็นวิ่ง 15-20 วินาที แล้วลดเดินเหลือ 35-40 วินาที ค่อยๆเพิ่มสัดส่วนเรื่อยๆจนถึงระดับที่สามารถรับได้


เลือกสถานที่วิ่ง
เริ่มแรกคือการหาสถานที่วิ่งครับ….ควรเป็นที่ราบ และเรียบ เงียบสงบ อาจเป็นทางเดินในสวนสาธารณะ ที่สามารถวิ่งคู่กันได้ หรือถ้าจะพากันไปวิ่งบนถนน ก็ควรเป็นถนนที่ไม่จอแจ ไม่มีรถเยอะ สามารถวิ่งด้วยกันได้อย่างปลอดภัยนะครับ

 กำหนดความเร็ว 
แนะนำว่าตอนเริ่มอาจจะลองเทคนิค “วิ่งสลับเดิน” ดูครับ ใน 1 นาที อาจจะวิ่งเยาะๆซัก 5-10 วินาที สลับด้วยการเดินซัก 50-55 วินาทีครับ (นึกไว้ว่าเพื่อนเรา…อาจเป็นคนที่ให้เดินขึ้นบันได้ที่ทำงานชั้นเดียว ยังอิดออดขอขึ้นลิฟต์เลยครับ) แล้วลองสังเกตการหายใจของเพื่อนเราดูครับว่ายังสามารถพูดกับเราได้เป็นปกติหรือเปล่า   แนะนำว่าการ “วิ่งสลับเดิน” ช่วงแรกๆ ไม่ควรเกินครั้งละ 15 นาที

 หมั่นเติมแรงไฟ
พยายามรักษาความฮึกเฮิมที่อยากจะวิ่งของเพื่อนเราเข้าไว้นะครับ  อาจจะลองเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง หาสถานที่วิ่งใหม่ๆที่วิ่งไปด้วยกันได้ ถือว่าได้เที่ยวไปด้วยในตัว บางคนอาจใช้เป็นข้ออ้าง พาแฟนหรือให้แฟนพาไปเที่ยวก็ได้
…หลังจากวิ่งได้ซัระยะหนึ่งแล้ว (ประมาณ 2-3 เดือน) อาจจะลองท้าทายตัวเองด้วยการวิ่งให้เร็วขึ้น ลองวิ่งขึ้นทางชัน วิ่งทางขรุขระ off-road นิดๆ หรือลองเข้าแข่ง Fun Run ดูก็ได้ครับ จำไว้ว่าความหลากหลายไม่จำเจจะช่วยให้การวิ่งของเรา

การเดินทางของผู้สูงอายุ

การเดินทางของผู้สูงอายุ


   การที่ผู้สูงวัย 60 ปี หลายแวดวงวิชาชีพเริ่มทยอยเกษียณในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์ปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว และกำลังจะเป็นสังคมสูงอายุที่สมบูรณ์แบบในอีกทศวรรษข้างหน้า


   ในขณะที่ประชากรในวัยแรงงานซึ่งเป็นฐานสำคัญของการผลิตและการเกื้อหนุนแก่ผู้สูงอายุมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอดจนอาจเป็นปัญหาได้ในอนาคตโดยคาดว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2567 หรืออีกประมาณ 13 ปีข้างหน้า และเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ปี พ.ศ.2573 ที่ประชากรผู้สูงอายุจะมีถึง 17 ล้านคนจากประชากรรวม 70.6 ล้านคน


แต่ที่ผ่านมาบทเรียนและประสบการณ์ของต่างประเทศที่พยายามกำหนดมาตรการเพื่อรองรับปัญหาจากการเป็นสังคมสูงอายุนั้นเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนโดยเฉพาะประเด็นการขยายอายุเกษียณเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องในสังคมมีความเข้าใจมีมุมมองและมีทัศนคติค่านิยม


สังคมไทยจะก้าวไปทางไหนและจะมีทิศทางไปอย่างไรในอนาคตกำลังเกิดวิกฤติประชากรเช่นนี้?ในประเทศที่พัฒนาแล้วจึงมีหลากหลายเพื่อรองรับปัญหาและความท้าทาย ที่เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยส่วนใหญ่มักจะพุ่งเป้าไปที่ “การจัดหางาน “การขยายระยะเวลา” ในการทำงานของแรงงานสูงอายุโดยเฉพาะการสนับสนุนให้แรงงาน สูงอายุสามารถทำงานในระบบได้ยาวนานขึ้นโดยการกำหนดมาตรการหรือปรับปรุงกฎหมายให้มี “การขยายอายุเกษียณ”แนวคิดในการขยายอายุเกษียณหรือการขยายอายุการทำงานเป็นนโยบายที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้จากการทบทวนบทเรียนและประสบการณ์จากต่างประเทศใน 5 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ซึ่งได้กลายเป็นสังคมสูงอายุไปแล้ว (Completed-aged society)


หน้ากากอนามัยใช้ให้ถูก

หน้ากากอนามัยใช้ให้ถูก
คนป่วยยิ่งเพิ่มมากขึ้น ฤดูกาลหน้าฝน แถมช่วงนี้ยังพบผู้ป่วยจากไวรัสเมอร์สคอฟรายแรกแล้วในประเทศไทย หลายคนคงป้องกัน สวมหน้ากากอนามัยกันมากขึ้น ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัย ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรจะหันด้านไหนดีจึงจะป้องกันได้?

หน้ากากอนามัย เป็นอุปกรณ์ใช้เพื่อป้องกันมลภาวะที่เป็นพิษทางอากาศหรือเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย จะเน้นเพื่อใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละออง ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบมากที่วางขายกันตามท้องตลาด โดยหน้ากากอนามัยที่คนใช้โดยทั่วไปนั้นจะมีดังต่อไปนี้
หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากผ้าฝ้าย  โดยหน้ากากอนามัยประเภทนี้จะมีคุณสมับัติในการกรองเชื้อโรคจำพวกเชื้อแบคทีเรีย  
หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ 3 ชั้น มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่น ป้องกันของเหลวซึมผ่าน และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากการไอหรือจามหรือเชื้อราได้ มีประสิทธิภาพในการกรองได้ไม่น้อยกว่า 95% ของอนุภาคขนาด 3 ไมครอน ซึ่งทั้ง 3 ชั้นนั้นผลิตจากวัสดุต่างกัน ดังนี้

  1.ชั้นนอกทำจากวัสดุ Poly Propylene Spunbond ซึ่งมีคุณสมบัติที่ย่อมให้อากาศผ่านเข้าออกและไม่ดูดซึมน้ำ มีความหนาตั้งแต่ 14-20 grams 

   2.ชั้นกลางทำจากแผ่น Melt Blown Filter ซึ่งมีความหนาตั้งแต่ 20-25 grams (เรามักจะพบว่า การใช้แผ่น Filter ที่หนากว่าจะให้ประสิทธิภาพการกรองเชื้อที่ดีกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิเคราะห์จากองค์กรตรวจสอบการกรองเชื้อ)  ชั้นในทำมาจากวัสดุเช่นเดียวกันกับชั้นนอก แต่จะมีความหนาตั้งแต่ 20-25 grams

หน้ากากอนามัยชนิด N95 เป็นหน้ากากอนามัยที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดอนุภาคเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานนานราว 3 สัปดาห์ แต่ก็ควรเปลี่ยนใหม่ทุกๆ วันจะดีกว่า

การใส่หน้ากากที่ถูกต้องคือ ให้ใส่หน้ากากตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ เนื่องจากหน้ากากที่ผลิตจากใยสังเคราะห์หรือเยื่อกระดาษนั้นมีตัวกรองอยู่ตรงกลาง หากผ้าเปียกก็สมควรเปลี่ยนใหม่อยู่ดี ไม่ว่าจะหันด้านสีเข้ม หรือสีอ่อนเพื่อป้องกันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพ วิธีใส่ที่ถูกต้อง อันดับแรก เราต้องตรวจดูให้เรียบร้อย

 ให้จับที่สายรัดแล้วจึงคล้องไปที่หู จัดแถบเหล็กให้เหมาะกับสันจมูก แล้วดึงด้านล่างของหน้ากากอนามัยลงมาให้ลงมาคลุมถึงใต้คาง เมื่อขยับหน้ากากเพื่อดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร ให้ล้างมือทุกครั้ง และห้ามเก็บหน้ากากไว้ใช้ซ้ำเพราะหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เวลาทิ้งก็ควรทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดหรือใส่ถุงพลาสติกปิดให้สนิทก่อนทิ้ง